รีวิว Three Colors หนัง Trilogy ชื่อดังของ Krzysztof Kieslowski

แบบว่าฟินอีกแล้ว กับ 3 แผ่น 99 จากร้าน B2S ครับ ไม่นึกว่าจะเจอ Three Colors หนัง Trilogy ชื่อดังอยู่ด้วย
แบบว่าเจอครบทั้ง 3 ภาคเลยครับ ได้แก่ Blue, White แล้วก็ Red ครับ
... ก็เลยตัดสินใจซื้อเลย 3 แผ่น เพียง 99 บาท ฮุฮุฮุ ^ ^
หนังทั้ง 3 เรื่องนี้ กำกับโดย Krzysztof Kieslowski เป็นหนังโปแลนด์ครับ เก่าเหมือนกัน เปิดตัวทีละเรื่องในช่วงปี 1993-1994 โดยเปิดตัวด้วยเรื่อง Blue ก่อน ตามด้วย White แล้วก็ Red ปิดท้ายครับ
ดังนั้น ชื่อจริงๆของหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่ชื่อภาษาอังกฤษหรอกครับ เค้าใช้ชื่อว่า Trois couleurs: Bleu, Blanc, Rouge ตามลำดับ
... ก็ขอรีวิวทีละเรื่องเลยแล้วกัน (อ้อ บอกก่อนว่า ถ้าจะซื้อมาดู ก็ควรจะดูไล่ตามลำดับครับ เนื้อเรื่องไม่เกี่ยวเนื่องกันในส่วนของเมนหลักๆเลยครับ แยกกันดูได้ แต่มันมีส่วนที่เกี่ยวกันแทรกเข้ามานิดหน่อย ดังนั้นถ้าทำได้ ก็ดูตามลำดับดีกว่า)
ปล. รีวิวของผมไม่ Spoil หนังแน่นอนครับ ^ ^

1. BLUE
เรื่อง Blue สีฟ้านี้ เปิดตัวก่อนครับ
เรื่องนี้โดยส่วนตัวเป็นเรื่องที่ดูยาก และน่าเบื่อที่สุดใน Three Colors แล้วครับ หนังชั้นดีก็จริง แต่ก็พ่วงความดูยากเข้ามาด้วย ... จริงๆถ้าตัดเป็นฉากๆ จะมีซีนเด็ดๆน่าสนใจอยู่เยอะมาก แต่พอมารวมเข้าด้วยกัน ผมกลับไม่พบความกลมกลืนของแต่ละซีนเลย แบบว่ามันมีบางซีนที่น่าสนใจ แต่ถ้าตัดทิ้งไป เนื้อเรื่องก็ไม่ได้เสียซะหน่อย อะไรทำนองเนี๊ยะครับ อย่างเรื่องของ Lucille เนี่ย เนื้อเรื่องน่าสนใจมีสีสัน แต่ไม่รู้ว่าใส่มาเพื่อเสริมอะไรของหนังโดยรวม? คือมันก็คล้ายๆจะเสริมความเป็นตัวตนของนางเอกนะ แต่โดยรวมๆ ผมก็รู้สึกว่ายัยนางเอกมัน Nonsense หลายๆอย่างอ่ะ คือเข้าใจนะ ว่าเรื่องมันเศร้า แต่ไม่รู้จะโชว์อารมณ์หรือจะติสต์อะไรนักหนา ... ในเรื่องตัวเอกติสต์เกิน น่ารำคาญมากครับ ... เรื่องแบบนี้ผมว่าในความเป็นจริง คนหลายๆคนต้องเผชิญอะไรแบบยัยนางเอกกันบ้างเหมือนกันครับ แต่ยัยนางเอกติสต์เกินอ่ะ
...
อย่างไรก็ตาม ความคิดผมคงโดนนักวิจารณ์หนังด่าเละละนะครับ 555+ ใครต่อใครเค้าก็ชม Blue กันทั้งนั้น ว่าทำได้ดี (ก็ ... นะ ... ผมไม่ใช่นักวิจารณ์หนังนี่นา)
รวมๆทั้ง 3 เรื่อง ผมชอบ Red มากๆ, ชอบ White, แต่เฉยๆกับ Blue

2. White
สำหรับ White จะดูง่ายกว่า Blue แต่ก็ยังไม่เท่า Red ... Red จะดูง่ายสุด
แต่เสน่ห์ของ White นั้น ผมว่ามันคือความหลากอารมณ์ ความจิต ความไร้สาระ ความ...เฉยๆ ดูแล้วไม่เข้าใจก็มีเหมือนกัน มันมีทั้งความดูง่ายและดูยากปนๆกัน บางช่วงก็ดู "พยายาม" เกินไป อย่างฉากความสัมพันธ์ของ Karol กับ Dominique ในช่วงแรกๆอ่ะ มันดูแบบว่าผิดธรรมชาติไปไหม? คือเข้าใจความคิดของ Dominique นะ แต่บางทีมันก็ Nonsense เกินไป ว่าจะอะไรขนาดนั้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงตอนจบ แม้ความคิดของ Karol จะดูผิดธรรมชาติไม่ต่างกัน (ดูมาทั้งเรื่อง นึกว่าไอ้นี่มันเพลนๆ ที่ไหนได้) ... แต่ผมกลับคิดว่ามันคือสีสันหลักๆของหนังเลยล่ะ
การเดินเรื่องของ White นั้น เหมือนจะเอื่อย แต่ก็กระชับฉับไว น่าติดตามครับ และก็จบแบบคาดไม่ถึง ออกแนวทวิสต์แบบหนังสมัยใหม่นิดหน่อย (แต่ถ้าดู Red จบ จะรู้ว่า White ไม่ได้ทวิสต์ตรงไหนเลย เพราะตอนจบของ Red มันเผยตอนจบจริงของ White ด้วย) รวมๆแล้ว สำหรับ White นั้น ผมชอบครับ (แต่ใน 3 เรื่อง White ยังไม่ดังเท่า Blue กับ Red ครับ แต่ก็อยู่ในขั้นที่เป็นหนังรางวัลเหมือนกัน)

3. Red
เรื่องสุดท้าย Red ครับ ดูคะแนนใน IMDB แล้ว เรื่องนี้ได้คะแนนสูงกว่าอีก 2 เรื่องนิดหน่อย ซึ่งผมว่าคะแนนที่บวกเกินเข้ามา ก็คือความ "ดูง่าย" ของหนัง
และอีกอย่างก็คงเป็นเพราะนิสัยของตัวละครในเรื่อง แทบทุกตัว เหมือนจริง เป็นธรรมชาติ ไม่ติสต์แตกอย่าง Blue และไม่เกินคาดเดาอย่าง White
และที่สำคัญคือ Red นั้น มีความ "น่ารัก" ของเนื้อเรื่องปนเข้ามาด้วย แต่ความจิตๆ ความดูยาก ความเป็นปรัชญา ก็โดนใส่เข้ามาไม่ต่างกับ Blue และ White (ลืมบอกว่าทั้ง 3 เรื่อง ยัดปรัชญาเข้ามาหมด) แต่พอมันมีความน่ารัก คิกขุของเนื้อเรื่องเข้ามา ก็เลยทำให้ Red ดูไบรท์ กระจ่างใสกว่าอีกสองเรื่อง ... Red จบแบบโรแมนซ์ น่ารักดีครับ เป็นหนังปรัชญาที่น่ารักได้
ตอนจบของ Red ทำให้ความทวิสต์ของ White ต้องจบลง (คือ White จบได้โรคจิตมากๆครับ แต่พอดู Red จบก็แบบว่าอ้าว ตกลงมันยังงี้หรอ? ... แต่กับ Blue ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรนัก ก็รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้)

ก็ดูจบเรียบร้อย ... เป็นหนังดีที่น่าเก็บ และผมคิดว่า ถ้าผ่านไปอีก 10 ปี แล้วกลับมาดูอีก ความคิดต้องเปลี่ยนครับ
หนัง Three Colors ทั้ง 3 เรื่องนี้ คนดูต่างวัยกัน ต่างวุฒิภาวะ ต่างประสบการณ์ ดูแล้วไม่มีทางให้ความรู้สึกเหมือนกันครับ อีก 20 ปีข้างหน้า ผมอาจจะชอบ Blue ที่สุดแทนก็ได้

ปล. ตัวประกอบคนนี้ โผล่เข้ามาในเรื่อง Red เพียงไม่กี่วินาที ... แต่เอิ่ม เห็นแล้วอยากแคปหน้าจอไว้อ่ะนะ
คือไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนังหรอก ตาคนนี้เป็นคนขายซีดี แต่แบบว่า ... ดูจากหัวแล้ว เหมือนจะเป็นมนุษย์ที่มี IQ เกิน 200 อ่ะนะ -*- (ไม่ได้เกี่ยวกับรีวิวหนังเลย)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น