รีวิว Alpaca Hill - อัลปาก้าฮิลล์ สวนผึ้ง "ต้องเที่ยว" น่ารักสุดๆ!!

Alpaca Hill - อัลปาก้าฮิลล์ สวนผึ้ง สถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่ ที่เป็นอะไรที่ต้องเที่ยว หากไปสวนผึ้งครับ!! (ปล. ตอนนี้ที่ชะอำก็มีแล้วครับ ไปชมรีวิว อัลปาก้าที่ Swiss Sheep Farm ได้ที่นี่ครับ)
ทำไมผมจึงใช้คำว่า "ต้องเที่ยว" สำหรับ Alpaca Hill แห่งนี้?
สาเหตุนั้น ก็คือว่าจริงๆแล้ว ที่อัลปาก้าฮิลล์สวนผึ้งเนี่ย ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักให้เที่ยว!!
ที่นี่คือฟาร์มเลี้ยงอัลปาก้าจริงๆจังๆครับ เค้าจะไม่เปิดให้แขกเข้าชมล้นหลามตามใจฉันท์ ประหนึ่งฟาร์มแกะที่ปล่อยให้ฝูงชนเข้าไปปู้ยี่ปู้ยำแกะเล่น หรอกนะครับ
สิ่งที่ตามมาก็คือว่า ... ที่นี่เค้าจะมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมด้วย เพราะเค้าให้เข้าไปสัมผัสกับอัลปาก้าได้โดยตรง ^ ^ นี่คือเหตุผลที่ 1
ส่วนเหตุผลที่ 2 ก็คือ ไม่ต้องไปคาดหวัง ว่าฟาร์มอัลปาก้าจะฮิต แล้วทำตามเลียนแบบกันจนเกลื่อนประเทศไทยแบบที่เคยเกิดขึ้นกับฟาร์มแกะ
เพราะอัลปาก้าตัวหนึ่งๆ "หลักล้าน" ครับ ... แพงกว่าแกะเยอะมากๆ คงไม่มีใครทุ่มงบซื้ออัลปาก้ามาเลี้ยงดูสักสิบตัวเพื่อเหตุผลด้านการท่องเที่ยวอย่างเดียวแน่นอน ต้องเลี้ยงจริงๆจังๆเท่านั้น
ดังนั้น ... ถ้าคุณมาสวนผึ้ง อัลปาก้าจะกลายเป็นสิ่งเดียวที่หาพบได้ในสวนผึ้งเท่านั้น!!
และหากคุณมาสวนผึ้ง แต่ดันไม่ได้ไปชมมัน ก็อาจจะเหมือนมาไม่ถึงได้!!
... จาก 2 เหตุผลนี้คือ 1.ชมยาก 2.มีที่เดียวในไทย ... มันก็เลยกลายเป็นแบบว่า ต้องเที่ยวให้ได้เลยนะครับ ^ ^

ว่าแล้วก็ขอโชว์ภาพเปิดตัวครับ เด็กน้อยอายุย่าง 3 ขวบ ให้อาหารอัลปาก้า ... เด็กๆก็เข้าถึงได้อย่างง่ายดายครับ ^ ^
ว่าแล้วก็ขอวกไปที่ทางเข้าก่อน ที่ทางเข้านอกจากจะมีป้าย Alpaca Hill แล้ว
ก็จะมีซุ้มชำระค่าตั๋ว(ที่จองผ่านออนไลน์ และต้องจองออนไลน์เท่านั้น)
และภายในก็จะมีสินค้าตัวอัลปาก้าขายอยู่เยอะแยะไปหมด!! (มีของนอกจากญี่ปุ่นด้วยนะครับ แต่อันนั้นจะแพงหน่อย)
มีตารางเวลารอบเข้าชมอัลปาก้าชัดเจน รอบๆหนึ่งก็ให้เข้าได้ไม่กี่คนนะครับ!!
และ ... เด็กที่ต่ำกว่า 110 cm เข้าฟรีครับ มายืนวัดกันได้เลย
ส่วนผู้ใหญ่ทั้งหลาย ก็เสียเงินกันตามนี้เลยครับ
ปล.ตอนผมไป ฝั่งจัดแสดงสำหรับ Regular Ticket ยังไม่เปิดนะครับ
แต่ขอบอกว่า ไปเที่ยวชมอัลปาก้า ไงๆก็ต้องไปสัมผัสมันให้ได้ครับ มันนิ่มกว่าแกะมาก (ดูเหมือนๆกัน แต่ไม่ใช่เลย เดี๋ยวจะบรรยายต่ออีกทีครับ)

หลังชำระเงินเรียบร้อย ก็จะมีรถพาไปที่หน้าทางเข้าฟาร์มอัลปาก้า
พอเข้าไป จะมีไกด์บรรยาย มีใส่พลาสติกหุ้มรองเท้า แล้วไปย่ำน้ำฆ่าเชื้อ มีล้างมือฆ่าเชื้อ ... พร้อมแล้วก็เข้าชมอัลปาก้าได้เลยครับ

เข้าไปปุ๊บก็เจอกับ ... โอ้ววว ฝูงอัลปาก้าตัวเป็นๆ เพียบเลย!!
คอยาวๆ คือลักษณะเด่นของมัน ... ขมสีขาวปุยนุ่มมากๆครับ
ข้อมูลจากไกด์ ก็บอกมาว่า อัลปาก้า มีถิ่นกำเนิดจากเปรู ประเทศในอเมริกาใต้ เป็นเมืองร้อนเหมือนกันครับ
แต่ทางออสเตรเลียเอามาเพาะเลี้ยงจนได้สายพันธุ์ที่แข็งแรง แล้วทาง Alpaca Hill ก็นำพันธุ์จากที่นั่นมาเพาะเลี้ยงต่อ
อัลปาก้าเป็นสัตว์รักสงบ ไม่ดุร้ายครับ ไม่กลัวคนมากด้วย แต่มีข้อห้ามนิดหน่อย
1. ห้ามเข้าข้างหลังมัน!! มันจะดีดใส่เหมือนม้าครับ
2. ห้ามลูบหัวมัน มันไม่ชอบ!!
ง่ายๆเท่านี้ครับ ^ ^
ตัวอัลปาก้าจะมี 2 สีหลักๆ (เท่าที่เห็น) คือขาวล้วนกับน้ำตาลหรือปนๆน้ำตาลครับ
ดูตัวทางขวาสิครับ มันเอี้ยวคอไปเลียก้นได้ด้วย -*-
น่ารักมากจริงๆ
สำหรับการสัมผัสมันนั้น ทาง Alpaca Hill จะมีอาหารอัลปาก้าใส่ชามมาให้ครับ ให้เรานำให้มันทานได้เลย
มันเห็น มันก็จะวิ่งมาทานอาหารทันที
แต่มันจะไม่รุมเบียดกันกินแบบแกะครับ มันจะมาแย่งกินพอเป็นพิธี ประมาณว่าถ้ามันมารุมอาหารในชาม 1 ชาม มีหัวอัลปาก้า 2-3 หัว ก็พอดีขนาดชามนั้นแล้ว มันก็จะมากินกันแค่นั้นครับ ไม่เบียดแย่งกันกิน

ตัวนี้ยังเด็ก แล้วก็น่าจะเพิ่งโกนขนไปขาย ขนเลยสั้นหน่อย แต่ก็ยังถือว่านิ่มมากๆครับ
สักพักเค้าจะพามันเข้าคอกมากินหญ้า เราก็ยังคงมาสัมผัสมันได้ต่อครับ
กินหญ้ากับหยุบหยับ อร่อยใหญ่เลยเชียว
แต่ละตัวจะไม่เหมือนกัน บางตัวก็หน้าตาดูดี ตัวไหนที่เหมือนเพิ่งโกนขนไปแล้วขึ้นใหม่ๆ ก็จะไม่ดูฟูนุ่มนิ่มน่ารักมากเท่าตัวขนปุยๆเยอะๆ
ให้ดูกันจะๆครับ คอกอัลปาก้า ก็ยังสัมผัสกับมันได้ง่ายๆครับ
ว่าแล้วก็จับอัลปาก้าโชว์ ... ขอบอกว่านิ่มมาก หากเทียบกับแกะแล้ว นิ่มกว่าแกะเยอะครับ
บางคนอ่านถึงตรงที่บอกว่า "ขนนิ่มกว่าแกะเยอะ" แล้วจะว่าผมโม้อยู่ก็ได้
แบบว่าเห่ออัลปาก้าที่มันมาใหม่ล่าสุดกว่าแกะหรือเปล่า เลยบอกว่านิ่มกว่าแกะเยอะ ... ดูๆแล้วก็น่าจะนิ่มเท่าๆกัน
ขอบอกว่า พูดแบบไม่ได้ใส่อคติเลยครับ นิ่มกว่าแกะเยอะจริงๆ (ผมเทียบกับแกะตัวที่ขนสุขภาพดีแล้วนะ)
แต่มันมีเสน่ห์คนละแบบ ขนแกะจะต้านมือกว่า มีความเป็น "สปริง" เด้งดึ๋งๆ ในเนื้อขนของขนแกะครับ หยุ่นๆ น่าจับ
ส่วนเจ้าอัลปาก้า มันจะแบบว่านิ่มเลยครับ นิ่มนุ่มหนึบหนับ แบบว่าความนิ่มนอนมาเลยครับ ^ ^
(แต่ดูด้วยตาเปล่าจะคิดว่าขนมันเหมือนกัน)

ดูบั้นท้ายเจ้าอัลปาก้า ที่มีขนพองๆฟูๆน่าจับครับ หางสั้นๆ ขนฟูฟ่อง แต่ขอบอกว่าอย่าเข้าทางด้านหลังมันครับ มันดีดได้แรงมากครับ
แล้วก็อย่าจับหัวมันครับ (จะเห็นว่าขนบนหัวมันฟูๆปุยๆ ... ห้ามจับ)
มีคนเผลอจับมัน มันสบัดหัวแล้วจ้องตาขวางเลย -*- (มันทำหูตั้งๆ หรือลู่ไปข้างหลังแบบสุนัขได้ด้วย)
บางทีเห็นมันนั่งนอนอยู่แบบนี้ อย่าคิดว่ามันดีดไม่ได้นะครับ ขอบอกว่าดีดได้ด้วย!!
ตัวนี้มันนั่งได้แป๊บเดียว ผมนึกว่าคงอยู่ในสภาพดีดไม่ได้ ... ที่ไหนได้มันดีดโชว์กับกองฟางให้เห็นจะๆ น่าจะแรงด้วย แต่ถ่ายรูปมาไม่ทัน (เดี๋ยวมีภาพตัวอื่นดีดให้ดูต่อครับ)
ก่อนอื่นให้ดูกีบมันก่อน กีบมันเป็นเหมือนเล็บแหลมๆ ระวังดีๆครับ (ขู่)
อย่างเจ้าตัวหัวน้ำตาลตัวนี้ ทำเป็นก้มเล่นๆไปมา
หันซ้ายหันขวา แล้วก็ทิ้งตัวลงนอน ... สักพัก ...
สักพักมันก็กลิ้งหลุนๆพร้อมกับเตะขาไปมา ถ้าไม่ระวังไปอยู่ใกล้มัน โดนเตะเจ็บแน่ๆ
...
เอ้า หากใครเบื่ออัลปาก้าแล้ว (แต่ผมยังไม่เบื่อเลย -*-)
ที่ Alpaca Hill ก็มีตัวอย่างอื่นให้ชมอีกเยอะ (มีตัวที่หาชมยากๆนอกจากอัลปาก้าด้วยนะ)
เริ่มด้วยนี่ครับ กวางดาว ... ที่ได้ชื่อว่ากวาง "ดาว" ก็เพราะมีจุดขาวๆที่ลำตัวครับ
ตัวนี้ไปสัมผัสมันใกล้ชิดอย่างอัลปาก้าไม่ได้ แต่ก็สามารถนำอาหารไปให้มันได้อย่างนี้ครับ
หลังจากกวางแล้วก็มีนี่ครับ กระต่าย ... กระต่ายนี่เข้าไปสัมผัสมันได้เลยครับ
และอีกไฮไลท์!! จิงโจ้แคระ!!
ไม่ได้หาดูง่ายในไทยครับ คล้ายๆอัลปาก้า
เจ้าจิงโจ้แคระนั้น มันไม่ให้เราจับตัวนะครับ เค้าก็เลยไม่ให้เราจับมัน
แต่เราก็ได้เข้ากรงมันและไปดูมันอย่างใกล้ชิดได้เช่นกันครับ
สังเกตเจ้าตัวทางซ้ายดีๆครับ มีลูกในถุงหน้าท้องด้วยนะ!!
น่ารักไหมล่ะ!!
และอีกไฮไลท์ จิงโจ้แคระเผือก ขาวทั้งตัว
ตัวนี้มันยอมเข้ามากินอาหารที่โยนให้มันใกล้ๆในระยะประมาณ 1.5 เมตรด้วยล่ะ
...
สุดท้ายก็ขอพาชมบรรยากาศในฟาร์มที่เค้าทำไว้สำหรับเข้าชมครับ
ขอบอกว่าทำไว้สวย น่าถ่ายรูปมากๆ
สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยครับ
อันนี้เที่ยวเสร็จแล้ว ผมถ่ายย้อนมาที่จุดทางเข้าฟาร์มอัลปาก้าครับ
มีป้ายบอกโซนต่างๆ
...
แล้วก็ มีฟาร์มแกะด้วย!! อีกไฮไลท์ของสวนผึ้งที่ขาดไม่ได้ครับ ทุกที่ต้องมีแกะ!!
นี่ครับ Sheep Land มีแกะให้ชมด้วยนะ ^ ^
เสร็จแล้วก็เดินกลับทางด้านหน้าครับ จริงๆเค้ามีรถกอล์ฟพากลับนะ แต่ขอเดินกันเองเพราะเห็นว่าไม่ไกลอะไร
ย้อนมาทางด้านหน้าอีกครั้ง ซื้อของที่ระลึก (ได้ตุ๊กตาอัลปาก้าไป 3 ตัว)
และโชว์การ์ดห้อยคอ VIP Ticket ของ AlpacaHill ครับ ^ ^ อันนี้เค้าก็ให้กลับบ้านเหมือนกัน
สรุปแล้ว ที่อัลปาก้าฮิลล์นั้น เป็นอะไรที่ห้ามพลาดครับ (เว้นแต่คุณจะไม่ได้รักสัตว์ขนปุยๆ ก็เท่านั้น)
เพราะนอกจากมันจะแรร์แล้ว มันยังขนนุ่มน่ารักน่าสัมผัสมากๆ ใครชอบสัตว์ แพ้ตัวอะไรที่มันน่ารักๆ
คุณจะต้องหลงรักเจ้าอัลปาก้าเหล่านี้แน่นอน!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น